หลักการและเหตุผล  :  ปัจจุบันโรคอ้วนมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย  โรคอ้วนก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ  เช่น  โรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary  heart  disease)  โรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน  ซึ่งโรคต่าง ๆ  เหล่านี้เป็นโรคที่ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณการรักษาพยาบาลสูงมาก  ปัจจุบันการประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ  ชาเขียวเป็นสมุนไพรที่มีองค์ประกอบสำคัญคือ  คาเฟอิน  และสารแค็ททะคิน  ซึ่งมีรายงานว่าสามารถลดน้ำหนักในคนคอเคเชี่ยน  ญี่ปุ่นและจีน  โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการใช้พลังงานและการเผาผลาญไขมัน (fat  oxidation)  แต่เนื่องจากความแตกต่างของกิจกรรมการสลายไขมันของแต่ละชนชาติ  และส่วนประกอบของอาหารในแต่ละท้องถิ่น  คือ  ในประเทศเขตอบอุ่นจะมีไขมันมากกว่าประเทศเขตร้อน  เช่น  ประเทศไทย  ดังนั้นผลการศึกษาในคนคอเคเชี่ยน  ญี่ปุ่นและจีน  อาจแตกต่างจากคนไทยวัตถุประสงค์การวิจัย  :  เพื่อศึกษาผลของชาเขียวต่อการลดน้ำหนักคนไทยที่อ้วนรูปแบบการวิจัย  :  เป็นการศึกษาแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมประชากรที่ศึกษา  :  อาสาสมัครที่เป็นคนอ้วน  มีดัชนีมวลกายเกิน  25 กก./ ตรม.  จำนวน  60  คนวิธีการวิจัย  :  อาสาสมัครถูกสุ่มแบ่งออกเป็น  2  กลุ่ม  คือ กลุ่มที่ได้รับชาเขียวและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก  เวลาในการทดลอง  12  สัปดาห์  ทำการประเมิน  น้ำหนัก  ดัชนีมวลกาย  องค์ประกอบของร่างกาย  การใช้พลังงานขณะพัก  สัดส่วนการหายใจ  ปริมาณอาหาร  และกิจกรรมทางกาย  ที่ค่าเริ่มต้นสัปดาห์ที่ 4, 8  และ  12  แล้วเปรียบเทียบความแตกต่างของทั้ง  2  กลุ่ม  ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย  Sudent’s  t  testผลการวิจัย  :  ผลต่างของน้ำหนักที่ลดลงในกลุ่มที่ได้รับชาเขียว  และกลุ่มที่ได้รับยาหลอกเป็น  2.70, 5.10  และ  3.73  กิโลกรัมในสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 12  ตามลำดับ  ที่สัปดาห์ที่ 8  น้ำหนักที่ลดลงมีความแตกต่างกันใน  2  กลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  (p< 0.05)  ผลต่างของการใช้พลังงานขณะพักเป็น  43.80  kcal/ day  (p< 0.05) ผลต่างของสัดส่วนการหายใจเป็น 0.02 (p<0.05)  สำหรับปริมาณอาหารที่รับประทาน และกิจกรรมทางกายในทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปผล  :  จากการศึกษาในครั้งนี้พบว่า  ชาเขียวสามารถลดน้ำหนักในคนไทยที่อ้วนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในสัปดาห์ที่ 8  โดยการเพิ่มการใช้พลังงานและการสลายไขมัน