ผลของการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบร่วมกับยาทาทาโครลิมัสและการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบอย่างเดียวในการรักษาผู้ป่วยโรคด่างขาว
ประวิตร อัศวานนท์, ศิริอร กล้าหาญ*
Division of Dermatology, Department of Medicine, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand
บทคัดย่อ
การรักษาด้วยการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบชนิดฉายเฉพาะที่เป็นวิธีการหนึ่งที่ได้ผลการรักษาดี ในปัจจุบันได้มีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ร่วมกับการทายาทาโครลิมัสซึ่งพบว่าให้ผลดีกว่าการรักษาด้วยวิธีเอ็กไซเมอร์เลเซอร์เพียงอย่างเดียว การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบร่วมกับยาทาทาโครลิมัสและการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบอย่างเดียวในการรักษาผู้ป่วยโรคด่างขาว โดยมีผู้ป่วยเข้าร่วมการศึกษา 15 ราย ผู้ป่วยแต่ละรายจะถูกเลือกรอยโรค 2 ตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันและอยู่บริเวณเดียวกัน แล้วสุ่มเลือกว่าตำแหน่งใดจะรักษาด้วยวิธีใด โดยตำแหน่งหนึ่งจะได้รับการรักษาด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบร่วมกับการทายาทาโครลิมัส อีกตำแหน่งหนึ่งจะได้รับการรักษาด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบอย่างเดียว ทำการฉายแสงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ผลการประเมินพบว่าร้อยละของการเกิดเม็ดสีผิวในรอยโรคที่รักษาด้วยการฉายรังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบร่วมกับการทายาทาโครลิมัส และการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบอย่างเดียวคือ 1.80 และ 1.53 ตามลำดับ (p=1.03) ดังนั้นการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบร่วมกับการทายาทาโครลิมัสให้ผลการรักษาดีกว่าการใช้รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบอย่างเดียว แต่ความแตกต่างนี้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 12 สัปดาห์
ที่มา
วารสารโรคผิวหนัง ปี 2552, July-September ปีที่: 25 ฉบับที่ 3 หน้า 153-162
คำสำคัญ
Narrowband UVB, Tacrolimus, Targeted phototherapy, Ultraviolet, Vitiligo, การฉายแสงเฉพาะที่, ทาโครลิมัส, รังสีอัลตราไวโอเลตบีชนิดความยาวช่วงคลื่นแคบ, โรคด่างขาว